เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ
กับพรุ่งนี้ซึ่งไม่มีวันมาถึง
ปรีดา อัครจันทโชติ
คอลัมน์ คนกับหนังสือ นิตยสารสารคดี ปีที่ 23 ตุลาคม 2550
ฉ. 272
จริงๆ
แล้วมันเริ่มตั้งแต่เมื่อครั้งที่มีการกำหนดกฎเกณฑ์เรื่องความรัก
กฎที่กำหนดว่าควรจะรักใคร รักอย่างไร และรักได้มากแค่ไหน
“กระนั้น
นั่นก็เป็นเพียงเป้าหมายที่น่าจะปฏิบัติได้ ในโลกการปฏิบัติที่ไร้ความหวัง” (หน้า
๓๗-๓๘)
เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ (The God of Small Things) นวนิยายรางวัล
Booker Prize ประจำปี ค.ศ. ๑๙๙๗
โดยนักเขียนสตรีชาวอินเดียนามว่า อรุณธตี รอย สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่วรรณกรรมอินเดียแนวที่เรียกว่า
“บริติชอินเดีย” ด้วยเหตุที่มิใช่วรรณกรรมยุคใหม่ซึ่งแสดงสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยชุมชนยากไร้
ขณะเดียวกันก็มีอารยธรรมเก่าแก่น่าภูมิใจ ดังเช่นผลงานรพินทรนาถ ฐากูร ภวานี ภัฏฏาจารย์ และคนอื่นๆ หากแต่ผลงานของ
อรุณธตี รอย แสดงให้เห็นภาพสองด้านของสังคมอินเดีย
ทั้งในมุมของวัฒนธรรมพื้นถิ่นและกลิ่นอายความฟู่ฟ่าแบบอังกฤษอันเป็นเจ้าอาณานิคม
ราเฮลกับเอสธาเป็นฝาแฝดเกิดจากไข่คนละฟอง
ราเฮลเป็นน้องสาว ส่วนเอสธาเป็นพี่ชาย
ทั้งสองอยู่ในครอบครัวของผู้มีอันจะกินที่ประกอบธุรกิจโรงงานผักดองในเมืองเค-ราลา
ประกอบไปด้วย อัมมู (แม่) จักโก
(ลุง) มัมมาจี (ยาย)
และเบบี้ โกจัมมา (ยายน้อย)
สถานการณ์หลักของเรื่องคือเหตุการณ์ช่วงที่ราเฮลกับเอสธามีอายุ
๗ ขวบ
เมื่อคุณหนูโซฟีกับมาร์กาเร็ตผู้เป็นลูกสาวและอดีตภรรยาของจักโกมาพักผ่อนที่อินเดีย
กับเหตุการณ์ ๒๓ ปีต่อมา เมื่อราเธอกับเอสธากลับมาเยี่ยมบ้านเกิด
เหตุการณ์ในอดีต
เหตุการณ์ในปัจจุบัน รวมถึงเหตุการณ์ที่เล่าภูมิหลังของตัวละครแต่ละตัว
ถูกตัดสลับไปมาตลอดเวลาอย่างไม่เกรงใจผู้อ่าน
โดยใช้น้ำเสียงที่เรียบนิ่งเสียดเย้ยอารยธรรมสลับกับน้ำเสียงเร่าร้อนแสดงความพลุ่งพล่านของอารมณ์มนุษย์
แม้ราเฮลกัลเอสธาจะเกิดจากไข่คนละฟอง
แต่ทั้งคู่ก็มีความผูกพันลึกซึ้ง อาจกล่าวได้ว่าต่างฝ่ายต่างเป็นอีกครึ่งชีวิตและเป็นด้านตรงข้ามของกันและกัน
ราเฮลนั้นเปิดตัวสู่โลกภายนอก เดินทางสู่ต่างประเทศ ใช้ชีวิตหวือหวา
แต่ภายในใจกลับว่างเปล่า ขณะที่เอสธานั้นใช้ชีวิตเรียบง่าย
ถนัดที่จะใช้ชีวิตเหมือนเป็นอากาศธาตุของคนรอบข้าง
แต่ภายในใจนั้นกลับเต็มไปด้วยความสับสนครุ่นคิดและดูเหมือนจะมีราเฮลเพียงคนเดียวที่เข้าใจพี่ชายฝาแฝดของเธอ
จนน่าเชื่อได้ว่าเวลา ๒๓ ปีที่ทั้งสองแยกกัน ราเฮลอาจรับรู้ความเป็นไปของเอสธา
เหมือนกับที่เธอเคยมีความทรงจำร่วมกับเขาในสิ่งที่ “ตนไม่มีสิทธิ์จะรู้”
ตัวละครหญิงในเรื่องต่างเป็นตัวแทนของสตรีอินเดียในแต่ละช่วงประวัติศาสตร์
ตั้งแต่ยุคอินเดียดั้งเดิม มาจนถึงยุคบริติชอินเดีย และอินเดียแบบโลกาภิวัตน์
นอกเหนือจากราเฮลแล้ว ตัวละครหญิงอื่นต่างล้วนอยู่ในบ่วงแห่งความรัก
และเป็นวัตถุรองรับอารมณ์เพศชาย หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นคนเก็บกด
ไม่อาจเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกของตนออกไปได้
มัมมาจีเป็นตัวแทนของหญิงอินเดียในโลกเก่าที่ออกเรือนไปรองรับอารมณ์ของสามีที่ยึดติดกับหัวโขนแห่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีของบุรุษเพศ
พรสวรรค์ทางไวโอลินของเธอถูกปิดกั้น
และกลายเป็นผลร้ายต่อชีวิตด้วยเหตุที่เธออยู่ในโลกที่สามีไม่ต้องการให้ภรรยามีอัตลักษณ์ของตนเอง
ขณะที่เบบี้
โกจัมมา คือตัวแทนของหญิงอินเดียยุคอาณานิคมอังกฤษ
เธอหลงรักคุณพ่อมัลลิแกนผู้เดินทางมาเผยแผ่ศาสนา โดยมิอาจทำอะไรได้มากกว่าการเปลี่ยนไปนับถือนิกายคาทอลิกแล้วพร่ำเขียนบันทึกว่า
“ดิฉันรักท่าน” ในยามที่เขาล่วงลับไปแล้ว
เธอไม่ประสบความสำเร็จในความรักที่ผิดทำนองคลองธรรม
แต่เธอก็พยายามบอกตัวเองว่าเป็นเพราะตัวเองมีความอดกลั้นต่อบาป
นี่เป็นเหตุผลที่เธอมุ่งร้ายต่ออัมมู และสองฝาแฝดซึ่งกล้าทำอะไรตามอย่างใจคิด
ส่วนอัมมูผู้ตัดสินใจมีครอบครัวเพราะหวังเป็นอิสระจากพ่ออารมณ์ร้ายเพียงเพื่อจะได้รู้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการหนีเสือปะจระเข้
หลังล้มเหลวจากชีวิตครอบครัวแล้ว
เธอมักฝันถึงผู้ชายแขนเดียวที่ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์พร้อม หากว่าเปี่ยมด้วยเหตุผล
รักเธออย่างจริงใจ และพร้อมจะปกป้องเธอ
ในกรณีของอัมมู
การหย่าร้างถูกตัดสินจากบุคคลรอบข้างว่าเป็นพฤติกรรมน่ารังเกียจมหันต์
ยิ่งการหอบลูกกลับมาอยู่บ้านเดิม
ก็ยิ่งทำให้เธอหมดคุณค่าความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง เพราะแม้ว่าบิดาของเธอเองก็ไม่เชื่อว่า
“ผู้ชายชาวอังกฤษ” ที่เป็นเจ้านายของสามีเธอจะกล้าทำเรื่องผิดศีลธรรม
จนเป็นเหตุให้เธอหนีกลับมาพึ่งพิงบิดา
ครั้นเมื่อเธอสูญเสียจนแทบไม่มีอะไรให้สูญเสียอีก
อัมมูจึงแปลสภาพเป็นระเบิดพลีชีพที่ไม่คำนึงถึงแบบแผนทางสังคมใดๆ
ซึ่งท้ายที่สุดแล้วผู้สูญเสียก็หาใช่ใครอื่น หากเป็นตัว “ระเบิด” นั่นเอง
สมาชิกในครอบครัวโกจัมมาล้วนเป็นพวกเก็บความรู้สึก
ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ต่างพยายามดิ้นรนต่อสู้ แต่ความแตกต่างคือ
ตัวละครเพศชายอย่างปัปปาจีและจักโก อาจประสบภาวะบีบคั้นทางจิตใจจากโลกภายนอก
ดังเช่นที่ปัปปาจีต้องเป็นทุกข์กับการถูกปฏิเสธการค้นพบแมลงชีปะชาวพันธุ์ใหม่
ส่งผลให้เขาลาออกจากราชการอย่างไม่ไยดี ขณะที่จักโกเผชิญปัญหาการใช้ชีวิตในต่างแดน
หรือกระทั่งช่วงเวลาที่อพยพกลับอินเดีย แต่เมื่อทั้งสองล้มเหลวจากโลกภายนอก
พวกเขายังสามารถกลับสู่โลกภายใน (ครอบครัว) ซึ่งตัวเองเป็นใหญ่
และทำทุกอย่างได้ตามใจ (โดยมากมักลงที่ภรรยา หรือคนในครอบครัวที่เป็นหญิง)
ขณะที่ตัวละครเพศหญิงอย่างมัมมาจีและอัมมู
ทำอะไรไม่ได้มากกว่าการอดทน แม้อัมมูกับมาร์กาเร็ตจะเผชิญชะตากรรมคล้ายคลึงกัน
คือการหย่ากับสามี แต่ปลายทางของทั้งคู่กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง
การหย่าร้างของมาร์กาเร็ตถือเป็นเรื่องปรกติของสังคมตะวันตก
แต่การแก้ไขปัญหาด้วยวิธีเดียวกันของอัมมูกลับกลายเป็นความผิดและตราบาป
มาร์กาเร็ตสามารถแต่งงานใหม่ได้โดยปราศจากเสียงเย้ยหยัน แต่การต้องการเติมเต็มชีวิตใหม่ของอัมมูกลับถือเป็นมลทินแห่งชีวิต
และกลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เมื่อชายผู้นั้นคือบุรุษหนุ่มผู้มีศักดิ์แห่งความเป็นมนุษย์ต่ำกว่าชาววรรณะทั้งสี่
เมื่อกล่าวถึงตัวละคร
ผู้เขียนเน้นถึงภาวะจำยอมที่ตัวละครต้องเลือกอยู่หลายตอน
ไม่ว่าจะตอนที่สหายปิลไลบอกราเฮลที่กลับมาเยี่ยมบ้านว่า
เธอมีทางเลือกเพียงแค่มีลูกสาวหรือไม่ก็ลูกชายเท่านั้น
อัมมูจำต้องเลือกย้ายบ้านตามบิดามารดา ต้องเลือกที่จะเลิกเรียนหนังสือ
ส่วนเวลุธาก็ต้องเลือกที่จะเป็นจัณฑาลที่ถูกเหยียดหยาม
เมื่อใดที่ตัวละครต้องการจะสร้างทางเลือกของตนเองนอกเหนือจากทางเลือกที่สังคมกะเกณฑ์ให้
ตัวละครเหล่านั้นก็จะถูกดูหมิ่นจากสังคม พวกเขาจำเป็นต้อง “เลือก” ทางใดทางหนึ่ง
หรือมิฉะนั้นก็จำเป็นต้องเลือกทางเลือกเดียวที่สังคมเปิดกว้างให้
ผู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับ
“ทางเลือก” เหล่านี้ ล้วนเป็นตัวละครหญิงหรือไม่ก็คนวรรณะต่ำต้อย
เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ
ยังเสนอทัศนะว่าด้วยความขัดแย้งทางสังคมหลายระดับไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างท้องถิ่นกับกระแสโลกาภิวัตน์
(กลิ่นยากำจัดศัตรูพืชที่ซื้อจากเงินกู้ของธนาคารโลก เทคโนโลยีและความรู้สมัยใหม่ที่จักโกนำมา
แต่ทำให้โรงงานผักดองตามแบบดั้งเดิมขาดทุน ฟ้อนกถักฬิถูกตัดทอนให้แสดงจบใน ๒๐
นาทีเพื่อเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมสำหรับนักท่องเที่ยว ฯลฯ
เหล่านี้ล้วนแสดงถึงความพยายามของโลกาภิวัตน์และทุนนิยมเสรีที่แทรกซึมเข้าสู่ประเทศที่มีกำแพงทางวัฒนธรรมแข็งแกร่งอย่างอินเดีย)
ความขัดแย้งเหล่านี้ต่างยึดโยงกับระบบความเชื่อที่สำคัญ ๔
ระบบที่เป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราวในเล่ม (และสังคมอินเดียทั่วไป)
นั่นคือศาสนาคริสต์นิกายซีเรียน ลัทธิคอมมิวนิสต์ โลกาภิวัตน์
และที่สำคัญที่สุดคือ ระบบวรณะในศาสนาฮินดู
ระบบคิดเหล่านี้สัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน
บ้างก็เหมือนจะประสานผลประโยชน์กันได้ แต่โดยมากมักขัดแย้งกัน
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
ทุกระบบความคิดต่างเป็นผลผลิตจากประวัติศาสตร์และอารยธรรมมนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่เพิ่งสร้างอารยธรรมมาไม่นาน
ดังเช่นที่จักโกอธิบายให้ราเฮลกับเอสธาในวัยเด็กฟังว่า โลกซึ่งมีอายุ ๔,๖๐๐
ล้านปีก็เปรียบได้กับผู้หญิงอายุ ๔๖ ปี อารยธรรทุกอย่างของมนุษย์นั้น “เพิ่งเกิดขึ้นในชีวิตของนางโลกเมื่อสองชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง”
(หน้า ๖๑)
ยิ่งอารยธรรมเข้มแข็งเพียงใด
ก็ยิ่งเป็นการท้าทายต่อแรงทำลายที่หนักหน่วงทัดเทียมกัน
เฉกเช่นกำแพงเหล็กกล้าที่ถูกกระหน่ำทั้งจากภายในและภายนอกในระหว่างยื้อยุดต่อสู้กันนี้เอง
ผู้อาศัยอยู่ในบ้านย่อมหวาดผวาอย่างช่วยไม่ได้
ราเฮลกับเอสธาจึงเป็นตัวแทนของหนุ่มสาวอินเดียรุ่นใหม่ที่เติบโตท่ามกลางความขัดแย้งหลายระดับของสังคมอินเดียดังที่กล่าวมา
ราเฮลเลือกที่จะหนีออกจาก “บ้าน” เพื่อให้ไกลความขัดแย้ง
ขณะที่เอสธาเลือกที่จะอยู่ใน “บ้าน” หลังเดิมต่อไป โดยไม่ไยดีว่า “กำแพง”
หน้าบ้านถล่มทลายแล้วหรือยัง
ผู้เขียนใช้บ้านประวัติศาสตร์แสดงถึงการดำรงคงอยู่ของประวัติศาสตร์และอารยธรรมอันยาวนานของมนุษย์ซึ่งมีความหมายนัยลบและเป็นอำนาจนิยม
ดังที่กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “ประวัติศาสตร์ได้ต่อรองเรียกร้องให้คนที่ทำลายกฏของมันต้องชดใช้”
(หน้า ๖๒) และ “มนุษย์ยินดีที่จะทำลายสิ่งซึ่งเขาไม่อาจปราบให้เชื่อง
และสิ่งที่เขาไม่อาจเชิดชูเป็นพระเจ้า” (หน้า ๓๔๒)
สิ่งที่น่าสังเกตคือ
แม้พวกจัณฑาลจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ และเป็นคอมมิวนิสต์
แต่เขาก็ไม่อาจสลัดคราบจัณฑาลไปพ้นตัวได้
ความเท่าเทียมกันของมนุษย์เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน
แม้กระทั่งในสายตาของมาร์กซิสต์อย่างจักโกและสหายปิลไล
โลกในเค-ราลาจึงแบ่งได้เป็น
๒ ส่วน คือ โลกแห่งความเป็นจริงและโลกแห่งความฝันของมนุษย์ผู้ทนทุกข์
โดยมีแม่น้ำและเรือลำน้อยเป็นตัวเชื่อมระหว่างโลกทั้งสอง การที่ “เขา” (เวลุธา)
เปลือยกายข้ามน้ำในบทที่ ๑๕
จึงหมายถึงความพยายามปลดเปลื้องความเป็นจัณฑาลของตนไปสู่อีกโลกที่สดใสกว่า
เพราะน้ำในแม่น้ำจะกลบรอยเท้าของเขาโดยมิต้อง “คลานถอยหลังเช็ดรอยเท้าตนเอง”
ดังกฏของจัณฑาลในโลกแห่งความเป็นจริง
นอกจากนี้แม่น้ำและเรือยังเป็นตัวเชื่อมของราเฮลกับเอสธาในการเดินทางไปสู่โลกไกลบ้าน
เมื่อพวกเขาถูกกดดันจากครอบครัว (คำตวาดของอัมมูที่ว่าหากไม่มีพวกเขา
เธอก็จะมีชีวิตที่เป็นสุข เป็นเพียงจุดระเบิดของเชื้อไฟที่ก่อตัวมาก่อนหน้านั้น)
แม้ผู้เขียนพยายามท้าทายกฎเกณฑ์ทางสังคม
โดยสร้างตัวละครขบถ ๒ คู่ ได้แก่ราเฮลกับเอสธา และอัมมูกับเวลุธา
แต่ก็เป็นดังที่เธอกล่าวว่า มันเป็นเพียง “เป้าหมายที่น่าจะปฏิบัติได้ในโลกการปฏิบัติที่ไร้ความหวัง”
ในเมื่อพวกเขาถูกตามล้างตามผลาญไปจนถึงโลกแห่งความฝัน การเดินทางมาสู่อีกโลกหนึ่งของฝาแฝดนั้นต้องเสียค่าโดยสารเป็นเครื่องสังเวยแก่แม่น้ำในราคาสูงลิบลิ่ว
(นี่ยังไม่นับว่ามีคนรู้พฤติกรรมบางอย่างของพวกเขาแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร)
เช่นเดียวกับที่ระบบวรรณะยังอุตสาห์ตามไปฉุดกระชากเวลุธาออกมาจากโลกใบนั้น
เหตุการณ์เหล่านี้ดำเนินไปโดยไม่มีใครรู้
ยกเว้นแต่ค้างคาวตาบอดเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้
เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ อย่างเวลุธา ผู้เป็นที่รักของราเฮลกับเอสธาในยามกลางวัน
และเป็นที่รักของอัมมูในยามกลางคืน จึงกลายเป็นเทพเจ้าแห่งการสูญเสีย และเป็นซากแห่งอารยธรรมอันรุ่งเรือง
เวลุธามีอุรัมบันเป็นตัวตนอีกภาคเฉกเช่นทุรคาเป็นอีกภาคของอุมาเทวี
อุรัมบันคือตัวตนในภาคขบถที่เชื่อมั่นในความเท่าเทียมกันของมนุษย์
ล้มล้างระบบวรรณะโดยยึดถือคอมมิวนิสต์
ขณะที่เวลุธาคือภาคของชายหนุ่มผู้มากความสามรถและเป็นที่รักของครอบครัวนายจ้าง
ดังนั้นเมื่อเอสธากลับมาหาราเฮลหัลจากเวลุธาถูกทำร้าย เขาตอบราเฮลว่า
“ที่เธอพูดน่ะถูก ไม่ใช่เขาหรอก อุรัมบันต่างหาก” (หน้า ๓๕๕) แม้จะทำให้เด็กๆ
หลอกตัวเองได้ว่าชายผู้เป็นที่รักของพวกเขายังปลอดภัย
แต่ความหมายที่ตามมาก็คือความเท่าเทียมกันของมนุษย์ได้ถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิงแล้ว
ด้วยเหตุนี้
ในตอนที่อัมมูกับเวลุธาแยกจากกันที่ริมฝั่งแม่น้ำ
อัมมูได้กล่าวกับเวลุธาด้วยใจเปี่ยมความหวังว่า “พรุ่งนี้จ้ะ”
แต่น่าเสียดายว่าพรุ่งนี้ของทั้งคู่ไม่มีวันมาถึง
พรุ่งนี้มิใช่เป็นเพียงวันพรุ่งนี้ของพวกเขาทั้งคู่
หากยังหมายถึงพรุ่งนี้ของมวลมนุษยชาติ!.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น